วิบากกรรมของข้าพเจ้า
เนื้อเรื่อง: คุณวรรณา สุติวิจิตร
…………………
เมื่อตอนเด็ก ๆ ข้าพเจ้าได้สั่งสมกรรมไว้มาก เมื่อถึงเวลากรรมส่งผล ข้าพเจ้าก็ได้รับวิบากกรรมหลายครั้ง ได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส กล่าวคือ วันไหนกับข้าวมีปูทะเล ข้าพเจ้าจะเจตนาทำอย่างตั้งใจและทำอยู่เสมอ โดยใช้มีดโต้กะเล็งลงบนตัวปูทะเลที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อสับปูออกเป็นสองส่วนให้เท่าๆ กัน เมื่อปูถูกมีดโต้ก็จะกระดุกกระดิกเล็กน้อย เนื่องจากก้ามและขาทั้งแปดถูกแม่ค้ามัดด้วยเชือกอย่างเหนียวแน่น ถ้าขณะนั้นเพียงแต่ข้าพเจ้ามีความเมตตาต่อปูสักนิด ข้าพเจ้าก็คงจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวด ความทนทุกข์ทรมานของปู แต่ข้าพเจ้ากลับไปสนใจและภาคภูมิใจกับความสำเร็จที่ข้าพเจ้าสับปูเป็น ๒ ส่วนเท่า ๆ กันมากกว่า ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็จะสับก้ามปูก่อน เพื่อป้องกันการถูกหนีบ สับขาปูส่วนปลายทิ้ง แล้วเถือเนื้อปูออกเป็นชิ้น ๆ สำหรับทำกับข้าว
.
เวลาผ่านไปร่วมสิบปี กรรมก็มาปรากฏให้เห็น ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปคุมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ข้าพเจ้ากำลังก้มตัวลงเพื่อเดินลอดเข้าตึก มีอาจารย์ชายท่านหนึ่งเดินลอดเข้าไปก่อน ไม่ทราบว่ามีข้าพเจ้าเดินลอดตามมา จึงดึงบานประตูเหล็กทั้งบานลงในจังหวะที่ข้าพเจ้ากำลังก้มตัวลอดอยู่พอดี บานประตูเหล็กของตึกได้ทำหน้าที่เหมือนกิโยติน สับลงบนแผ่นหลังของข้าพเจ้าลักษณะเดียวกับที่ข้าพเจ้าใช้มีดโต้สับลงบนตัวปู ต่อมาเกิดอาการปวดชา ตั้งแต่ต้นคอแล้วแผ่ซ่านไปถึงปลายนิ้วมือ แผ่นหลัง สะโพก ทรมานเหมือนถูกปลายเข็มจำนวนนับหมื่นนับแสนเล่มมาทิ่มแทงทุกอณูในร่างกาย ต้องรักษาตัวกว่า ๒ เดือน รับประทานยา ทายา กายภาพบำบัด ใส่ปลอกคอ เมื่อข้าพเจ้าหายก็เริ่มสนใจปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าตอบตัวเองว่า นั่นเป็นเพียงอุบัติเหตุ ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นกฎแห่งกรรม แต่ข้าพเจ้านั่งสมาธิแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ
.
ต่อมาอีก ๖-๗ ปี ปูยังไม่ยอมอโหสิ วันหนึ่งข้าพเจ้านั่งอยู่ตรงเบาะหลังของรถยนต์ ขณะที่รถจอดติดสัญญาณไฟแดง มีรถกระบะคันหนึ่งวิ่งมาชนกระแทกท้ายรถคันที่ข้าพเจ้านั่งอย่างแรง เสียงดังสนั่น และรถคันที่ข้าพเจ้านั่งก็ไปกระแทกชนท้ายคันข้างหน้าต่อ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก รถพังยุบ ทั้งหน้ารถและท้ายรถยุบเข้าหากัน อีกฟุตกว่ารถก็ยุบมาถึงตัวข้าพเจ้า ขณะที่เกิดเหตุ ข้าพเจ้าตั้งสติได้ เอามือจับเบาะยึดแขนไว้ไม่ให้หน้าอกถูกอัดกระแทก ข้าพเจ้ารู้ตัวทุกขณะจิตที่เกิดขึ้น อวัยวะส่วนคอถูกเขย่าไปมาตามแรงกระแทกราวกับจงใจให้คอหักลงเดี๋ยวนั้น ข้าพเจ้ารับประทานยา ทายา นั่งสมาธิอยู่ ๒-๓ วัน ก็หายเป็นปกติ ข้าพเจ้าก็ตอบตัวเองเหมือนเดิมว่า นั่นเป็นเพราะอุบัติเหตุ
.
ต่อมาอีกสองปี เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๓๖ ข้าพเจ้านั่งแท็กซี่ไปขึ้นรถของพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เพื่อไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน รถแท็กซี่ขับไปช้า ๆ รถเมล์คันหลังเบรกแตกมาชนท้ายไม่รุนแรงนัก ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองไม่เป็นไร จึงเดินทางต่อไปวัดอัมพวันและในคืนนั้นเอง อาการปวด ชา บริเวณคอของข้าพเจ้าก็เริ่มขึ้นอีก แม้กระทั่งกลืนอาหารก็กลืนได้อย่างยากเย็น วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้ไปหาพี่สมประสงค์ ซึ่งมีเมตตาจิตช่วยทายาให้ ๒-๓ ครั้ง อาการทุเลาลงได้ในวันที่ ๔-๕ ของการปฏิบัติ ข้าพเจ้ากระวนกระวายใจคิดลังเลใจจะกลับไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ จิตใจว้าวุ่นจนต้องไปเดินรอบกุฏิของหลวงพ่อหลายรอบ แต่ไม่มีโอกาสได้พบท่าน ข้าพเจ้าไปยืนอ่านป้ายนิเทศหน้ากุฏิ ที่จัดเนื้อหาเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมของหลวงพ่อที่เคยทำกับนก เต่า สุนัข แมว ข้าพเจ้าอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ แม้ว่าจะเคยอ่านมาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ครั้งนี้ข้าพเจ้ายืนอ่านทุกตัวอักษรอย่างช้า ๆ และยอมรับโดยไม่มีข้อโต้เถียง ปักใจเชื่อเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า นี่เป็นกฎแห่งกรรมที่ข้าพเจ้าต้องยอมรับ
.
ข้าพเจ้าเดินน้ำตาอาบแก้มกลับไปที่ศาลาเหมือนเดิม ตั้งใจเดินจงกรม ตั้งใจนั่งสมาธิอย่างเต็มที่ ตั้งใจแน่วแน่อธิษฐานจิตขอให้โรคหายที่วัดอัมพวัน ข้าพเจ้าจะขอปฏิบัติเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ตายเป็นตาย ข้าพเจ้านึกถึงคำสวดบทหนึ่งที่ว่า แม้ร่างกายจะเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานอย่างไร แต่ใจไม่ได้เจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานไปด้วย ข้าพเจ้านั่งกำหนด พองหนอ-ยุบหนอไป รู้สึกว่าความปวดทั้งหลายเริ่มจะมีอาการหนักยิ่งขึ้น และเพิ่มอาการปวดเข่า ปวดขามากขึ้นเป็นทวีคูณจนต้องเม้มปาก ข่มความปวด ข้าพเจ้าปวดมากจนเลิกสนใจ เพราะมุ่งแต่กำหนดปวดหนอ อดทนหนอ ข้าพเจ้ากลับมาดูใจตัวเอง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าใจขณะนั้นสงบ เฉย ไม่ได้ทุรนทุรายในขณะที่ร่างกายปวดจนรู้สึกจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ข้าพเจ้านั่งแยกรูป นามด้วยอาการที่สงบ มองเห็นใจตัวเองที่เฉย รู้สึกว่าร่างกายที่ปวดอยู่ก็ปวดไป ข้าพเจ้ากำหนดพองยุบไปเรื่อย ๆ
.
จนกระทั่งหมดเวลา เมื่อข้าพเจ้าลืมตาขึ้น อาการปวดทั้งหลายหายไปราวกับปาฏิหาริย์ เหลืออาการที่ร้อนวูบวาบเหมือนทายาหม่องไปทั้งตัว เย็นวันนั้นข้าพเจ้าไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกแห่งในวัดอัมพวัน วันรุ่งขึ้นขณะที่ข้าพเจ้านั่งกำหนดพองหนอ-ยุบหนอนั้น ข้าพเจ้าได้ให้คำสัตย์กับตัวเองว่า ข้าพเจ้าหายเป็นปกติแล้ว จะกลับไปพิมพ์หนังสือธรรมะแจกเป็นวิทยาทาน ๑,๐๐๐ เล่ม เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร การนั่งสมาธิครั้งนี้ ข้าพเจ้ามีอาการแสบร้อนไปทั้งตัว..
.
ขณะที่นั่งกำหนดพอง-ยุบ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนว่าผมทั้งศีรษะเปียกเหมือนมีน้ำมาชโลมจนเปียก ข้าพเจ้ามีสติรู้เท่าทันปัจจุบันทุกอย่าง ไม่ได้มีอุปาทานหรือคิดนึกไปเอง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าผมบนศีรษะเริ่มตั้งขึ้นเองรวมเป็นกระจุก ๆ เป็นหย่อม ๆ ทั้งศีรษะ ข้าพเจ้าเพิ่งจะนึกออกว่าเหมือนขนของกระต่ายเวลาถูกน้ำร้อนลวก ข้าพเจ้าอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ ในกฎแห่งกรรมที่ปรากฏชัดเจนอย่างนี้ เพราะข้าพเจ้าเคยมีส่วนร่วมในการฆ่ากระต่ายด้วย โดยการยกกาน้ำร้อนเตรียมไว้ให้เขา ต่อมาข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีมือ ๒ มือ มารวบผมตรงท้ายทอยออกเป็น ๒ กระจุกซ้ายขวา แล้วกระจุกผมทั้ง ๒ ข้างถูกกระตุกขึ้นอย่างเบา ๆ นุ่มนวลเป็นจังหวะ ๒-๓ ครั้ง เหมือนกับมีศูนย์รวมประสาทอยู่ข้างหูนั้นถูกกระตุกขึ้น ข้าพเจ้าภาวนาขออย่าเพิ่งหมดเวลาแล้วสัญญาณเตือนก็ดังขึ้น ข้าพเจ้าดีใจมาก เชื่อมั่นว่าข้าพเจ้าหายจากโรคแน่นอน
.
วันต่อมามีบรรดาผู้ใหญ่ที่มาปฏิบัติธรรมทักว่า “ได้ส่องกระจกดูหน้าบ้างหรือเปล่า?” ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะข้าพเจ้าได้เปลี่ยนจากใบหน้าที่ซีด...อมทุกข์...หมองเศร้า…กลับกลายมาเป็นสีหน้าที่สดชื่น มีสีเลือดมากขึ้น ผิดไปจากเดิมราวกับคนละคนในเวลาไม่กี่วันในคืนสุดท้ายก่อนกลับ ข้าพเจ้าตั้งใจนั่งสมาธิตรงที่นอนอีกครั้งหนึ่ง วันเดินทางกลับรู้สึกสบายเป็นปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อมาข้าพเจ้าได้เขียนและจัดพิมพ์หนังสือเรื่อง สอนลูกศิษย์นั่งสมาธิขั้นพื้นฐาน พิมพ์แจกเป็นวิทยาทานตามที่ได้ตั้งใจไว้ แต่กรรมของข้าพเจ้ายังไม่หมด ในวันที่ข้าพเจ้านัดไปรับหนังสือ เท้าของข้าพเจ้าเกิดไปถูกอะไรโดยไม่รู้ตัว เลือดไหลออกมาเป็นลิ่มแดงสด กองอยู่บนพื้นเหมือนเลือดไก่ ข้าพเจ้าเพิ่งนึกออกอีกครั้งว่า ข้าพเจ้ามีส่วนเป็นผู้ช่วยในการฆ่าไก่เมื่อตอนเป็นเด็กด้วย…
......
พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ศีลคืออาภรณ์อันประเสริฐ ศีลคือเกราะอันอัศจรรย์ ผู้มีศีลเมื่อคอยระวังอยู่เวรภัยย่อมไม่บังเกิด ผลกรรมวิบากทั้งหลายล้วนเกิดจากการละเมิดในศีล อย่าคิดว่าแค่กรรมเล็กน้อยจะไม่ส่งผล ขอท่านทั้งหลายพึงไม่ประมาท หมั่นสำรวมจิตอยู่ในความดีงาม พึงมีความเมตตากรุณา มีศีลละการเบียดเบียนซึ่งกันและกันครับ
...............
เรียบเรียง: ธนสิทธิ์ เศขรฤทธิ์
ที่มา: amphawan.net กฎแห่งกรรม-เล่ม-๘/ วิบากกรรมของข้าพเจ้า/
คุณวรรณา สุติวิจิตร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ร.ร.สาธิต แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
บางเขน
………..
“My Karmic Retribution”
By Asst. Prof. Wanna Sutivijit
….........
When I was young, I unknowingly accumulated several wicked deeds. So, when it was time for retribution, I underwent unexpectedly severe misery and agony. The onset was my intention of cooking mud crabs. I used to cook mud crabs often, each time with great concentration; making sure that the large chopping knife would make a sharp cut between the eyes and the tail of the live crabs. The two equal pieces of the mud crab would jerk slightly, as their claws and eight legs were still tied up from the market. If only I had the slightest empathy for those crabs, I would feel the pain and agony I had caused. Instead, I felt proud of my ability to chop off the crab into two equal parts. Then I would chop off the claws to prevent myself from pinching, trim the end of the legs and carve out the meat into pieces for cooking.
.
After 10 years have passed, my bad karma started to act up. It happened when I was walking behind another lecturer to invigilate an exam. While I hunched forward to walk through the building entry, he unknowingly pulled the metal gate down. The metal gate was like a guillotine that chopped right through the center of my back; exactly the way I used the knife to cut those crabs. I then felt excruciating pain and numb from the back of my neck to the fingertips, my whole back and hips, like my whole body was being pricked by hundred thousand of sharp pins. I had to undergo two months of medication both internally and externally; followed by constant physical therapies as well as wearing a neck brace. After recovery, I became interested in the practice of dhamma. I told myself that what happened was merely an accident, not wanting to believe in the rules of karma. Still, I meditated and spread loving-kindness to those I harmed before.
.
Six to seven years later, the crabs still would not forgive me. One day, I was sitting in the back seat of a car, during the red traffic light suddenly a truck crashed right into the back of the car. The sound of the crash was deafening, followed by a slam into the back of the front car. Everything happened so quickly. The car was so severely dented from front and back that within 30 centimeters I would have been hit too. However, I was able to remain mindful throughout the incident so I used my arms to hold myself from crashing into the front seat. Consciously I felt my neck shake so hard, as if there was a force trying to snap it. I took medication and continued my meditation practice for a few days, then all was back to normal. Again, I told myself that it was just an accident.
.
A couple of years later, in October 1993, I took a taxi to the Buddhist Association of Thailand in order to attend a dhamma retreat at Amphawan Temple. The taxi drove on slowly, but unfortunately the brakes of the bus behind failed and crashed right into us. Still, I thought I was okay, and continued on to Amphawan Temple. But that night, my neck felt pain and numb, so severe that it was almost impossible to swallow any food. The next day, I went to Khun Somprasong, a senior practitioner who helped me apply some medicine for a few times, which lessened the pain on the 4th and 5th day. I was so anxious that I thought about returning to Bangkok for recovery. Through my anxiety, I walked several rounds around the residence of the venerable monk, but had no chance to see him. Alternatively, I carefully studied the dhamma teaching sign that I have read many times before, but this time I read slowly until I finally realised and accepted that this was the result of karma.
.
During my walk back to the meditation pavilion, my cheeks were wet with tears. I continued to practice walking meditation with utmost dedication. I prayed for my recovery right at the temple, and offered the merit of meditation to worship the Buddha. It was either do-or-die. I then remembered a prayer that taught, “Even the body may be in pain, the soul feels no pain”. I commanded myself to only observe the “falling” and “rising” of the breath. Subsequently, the pain from the accident intensified, and my knees and legs began to ache. I had to compress my lips in order to subdue the pain. It was so severe that I had to ignore it, and instead I observed the pain and accepted it. Conversely, my soul was calm and at peace, unlike the body that was on the brink of all that it could possibly endure. I calmly separated my soul and the body into different entities; I saw how my soul remained calm while the body continued to endure pain as I focused on the “falling” and “rising” of the breath.
.
Once the meditation session was over, I opened my eyes to realise that all the physical pain miraculously disappeared. What remained were the hot flashes, like when hot herbal balm was applied on the skin. That evening, I went to pay respect to all sacred entities at Amphawan Temple. The next day, while I focused on the “falling” and “rising” practice, I vowed to myself that once I was healed, I would distribute 1,000 dhamma books in order to impart knowledge to others as a merit dedicated to those I formerly harmed. Throughout this meditating session, I felt a burning sensation all over the body.
.
Furthermore, my hair felt wet, like it was drenched in water. Throughout the experience, I was fully alert and aware, nothing was imaginary. I felt patches of my hair start to stand on end. I realised that this was exactly how the rabbit's fur looked when it was being scalded. I wanted to laugh when I realised how the law of karma worked as I once took part in the killing of a rabbit by preparing the boiling water. Shortly after, I felt like there were two hands gathering my hair into two pigtails, on the left and right. Then the pigtails were gently raised for two to three times by the jerk of the nerve centers behind my ears. I prayed for the meditation not to end, but suddenly the alarm sounded. I felt overjoyed, convinced that I must have been cured.
.
The next day, all the seniors at the Meditation center said, “Have you noticed yourself in the mirror?” Believe it or not, the pale…sorrowful…gloomy look on my face was gone. It now displayed a rosy and cheerful face, a complete contrast from how I was a few days ago. On my last night at the retreat, I continued to meditate with determination. On the departure date, I felt fine like nothing had ever happened. Everything was back to normal.
.
As per my vow, I wrote and ordered the publishing of a book that teaches the basic of meditation to children. Nevertheless, the road to redemption has yet to end. On the book collection date, my foot hit something, and there I saw bright red blood on the floor. I then realised that I also used to take part in the killing of chickens when I was young.
.
The Buddha once taught that the Precepts are both splendid garments and miraculous shields. Those who cautiously follow the Precepts will not face danger. All the retributions are only caused by those who break the Precepts. Do not be careless and think that small deeds will not have any result. Hence, I ask you to never live in negligence, to be at peace, have compassion and avoid harming others.
………
Translated from: amphawan.net, the Law of Karma issue 8/ My Karmic Retribution/ Asst. Prof. Wanna Sutivijit, Kasetsart University Laboratory School Center for Educational Research and Development.
.........
Translation: Yokfah Suchitchareon
Comentários